วิธีการออกบูธให้โดดเด่นดึงดูดลูกค้ามากที่สุด ด้วยภาวการณ์แข่งขันที่สูง กับตลาดที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2560 ที่เกือบจะนับได้ว่าเป็นยุคของการทำตลาดออนไลน์ จนทำให้ธุรกิจที่มีหน้าร้าน หรือ การออกบูธ เริ่มซบเซาลงไป แต่ถึงอย่างไรก็ตามการทำการตลาดเพียงช่องทางออนไลน์อย่างเดียวก็ดูจะไม่เพียงพอ เพราะยังมีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเห็นสินค้าจริง และต้องการความเชื่อมั่นจากการสัมผัสสินค้า และเห็นผู้ประกอบการตัวเป็นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ ด้วยเหตุนี้เองจึงยังมีผู้ประกอบการไม่น้อยที่ยังต้องพึ่งพาการออกบูธเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจตนเอง แต่จะทำอย่างไรให้บูธของเราโดดเด่น สวยงาม ดึงดูดสายตาลูกค้า และเพิ่มยอดขายได้มากกว่ากันเพราะค่าใช้จ่ายในการสร้างความโดดเด่นนั้น ต้องยอมรับว่าสูงจนทำให้ผู้ประกอบการหลายราย สู้ไม่ไหว แล้วเราจะทำยังไงถึงจะสร้างความโดดเด่นในแบบที่คุ้มทุนได้ล่ะ
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงเลย คือ การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน กำหนดลงไปเลยว่าการออกบูธในครั้งนี้ ผลตอบรับที่ต้องการคืออะไร ยอดขาย เท่าไหร่ หรือ สร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ยังไง ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน สัมผัสได้ วัดผลได้ เพื่อให้รู้ได้ว่าที่ทำลงไปนั้นคุ้มค่าการลงทุนซักเพียงไหน
เลือกทำเลที่ดี กำหนดพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม เก็บรายละเอียดให้มากที่สุด พื้นที่ที่สำคัญคือพื้นที่ที่ตอบโจทย์ของเป้าหมาย อาทิ ต้องการเน้นการขาย ก็ควรมีพื้นที่ที่ช่วยในการปิดการขายให้มาก ตัวอย่างเช่น พื้นที่รับรองลูกค้า สำหรับพนักงานขายเจรจาปิดการขาย ต้องการสร้างแบรนด์ให้หรู ควรให้ความสำคัญกับ Space ให้พื้นที่โล่ง ไม่อึดอัด ดูหรูหรา น่าดึงดูด และที่ขาดไม่ได้เลย คือ POP สำหรับการตกแต่งพื้นที่ออกมาให้สวยดูดี และช่วยในการให้ความรู้ข้อมูลสินค้า และโปรโมชั่น แต่ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้ธีมที่กำหนดไว้และสร้างความโดดเด่นพอให้ดึงดูดสายตาผู้บริโภค แต่ไม่ควรแข่งกับตัวสินค้า
ลำดับถัดไปคงเป็นเรื่อง แสง สี เสียง และ Motion การเคลื่อนไหว Movement ต่างๆ ภายในบูธ จะช่วยให้พื้นที่บูธของคุณดูมีมิติ ควรเลือกแสงที่ขับให้สินค้าดูเด่น ถ้าเป็นธุรกิจที่ต้องโชว์ความสวยงามของตัวสินค้า อาจเลือกแสงขาว เพื่อให้สินค้าดูหรู โดดเด่น มากยิ่งขึ้น ไฟยิ่งเยอะยิ่งเด่น หรืออาจจะช่วยด้วยการเลือกพื้นให้สว่างเพื่อให้สะท้อนกับแสงและขับตัวสินค้าขึ้นอีกด้วย
แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ต้องการสร้าง Mood & Tone หรือ สินค้าเป็นบริการ อาจเลือกแสงเหลือง เพื่อสร้างบรรยากาศ และเพิ่มความรู้สึก Movement ด้วย เสียง และการแสดง หรือ Pretty MC ซึ่งการเลือก Pretty MC ก็ควรเลือกให้เข้ากับประเภทสินค้าที่ต้องการ present อาทิ สินค้าที่จับกลุ่มผู้ชาย อาจเน้น Pretty ที่ Sexy สินค้าที่จับกลุ่ม Hi-End ควรเลือกที่หน้าตาออก Modern และไม่ควรแต่งตัวแรงจนเกินไป อาจทำให้สินค้าดูภาพลักษณ์ไม่ตรง concept ได้ และสำหรับ MC ควรเลือกที่มีประสบการณ์ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งๆ เพราะต้องยอมรับว่าการจัดกิจกรรมเกือบทุกครั้ง จะต้องเจอกับปัญหาที่คาดไม่ถึงเสมอ MC ที่มีประสบการณ์ผ่านมาหลายงานมักจะเอาตัวรอดได้ ด้วยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และที่สำคัญควรจะต้องมีทักษะในการพูดเพื่อสื่อสาร มนุษย์สัมพันธ์กับลูกค้าและมีปฏิภาณไหวพริบดี ส่วนเรื่องความรู้เรื่องสินค้าและบริการนั้นค่อยเขียน script ให้กลับไปท่องไปศึกษาหน้างานซัก 1 สัปดาห์ ก็สามารถช่วยให้งานคุณผ่านฉลุยได้
กิจกรรมที่ดีควรเป็นแบบ Two-way communication คือให้การมีสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอยู่เรื่อยๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า อาทิ การเล่นเกมส์ การแจกของรางวัล ยังไงซะการใช้ของแถม ของฟรีเป็นตัวดึงลูกค้า ก็ยังใช้ได้เสมอตลอดกาล ไม่ตกยุคไปง่ายๆ แน่นอน ส่วนเทคนิคการแจกของฟรีนั้น จะทำยังไงให้ไม่สูญเปล่า เมื่อแจกแล้วมีโอกาสการขายตามมานั้นก็ขึ้นกับการสอดแทรกการขายเข้าไป ซึ่งตรงนี้บอกได้เลยถ้าได้ MC และ Sales มืออาชีพก็ไม่น่าต้องเป็นห่วงอะไรมาก เพราะดึงลูกค้าเข้ามาได้แล้ว การปิดการขายนั้นก็ไม่ยากนักอย่างแน่นอนและสินค้าที่ต้องมีการสัมผัส หรือ สาธิตนั้น ควรจะเน้นตรงจุดนี้เพื่อเป็น Hi-Light สอดแทรกเข้าไปทุกช่วงเวลาของกิจกรรมเพื่อสร้างความรู้สึก Wow ให้กับผู้พบเห็น และเป็นสิ่งสำคัญที่จะดึงดูดลูกค้าได้ไม่แพ้ความสวยงามจาก Pretty เลยทีเดียว
แต่หากบูธนั้นทำขึ้นมาเพื่อสร้างแบรนด์แต่เพียงอย่างเดียว ไม่เน้นขาย ขอแนะนำให้ออกแบบให้โดดเด่น สวยงาม เลือกใช้วัสดุที่สร้างความแตกต่าง โชว์ไอเดียในการออกแบบอย่างเต็มที่ และเน้นการจัดไฟ และโครงสร้างของให้บูธดูดี และใช้ Space เพื่อให้ดูหรู และมีพื้นที่ให้ Logo โดดเด่น มองเห็นแต่ไกล และควรจะมี Logo ทั้งในตำแหน่งที่สูงเพื่อมองเห็นได้ในระยะไกล และมี Logo ระดับสายตา เพื่อรับลูกค้าที่อยู่ใกล้บูธ
สุดท้ายแล้ว การออกบูธนั้นจะไม่ได้ผลเท่าที่ควรเลย หากแต่ไม่คำนึงถึงหัวใจหลักของการออกบูธ เพราะสิ่งที่ต้องคำนึงเสมอ คือ รูปแบบการออกบูธนั้น จะต้องอยู่ภายใต้ Theme หลักของแบรนด์เสมอ เพราะการหลุด Theme จะทำให้สูญเสียงบประมาณในการสร้างการจดจำ และได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า